พอมีเรื่องร้าย ๆ เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นกับชีวิต เรื่องร้ายอื่น ๆ ก็เหมือนตามมากระทืบซ้ำ...เคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ แบบนี้ กันบ้างไหมคะ?...ผู้เขียน เคยมีประสบการณ์ในลักษณะแบบนี้ แล้วก็ยังได้รู้ได้เห็นเรื่องราวในทำนองนี้จากคนรอบข้างมาไม่น้อย...แต่ตอนนั้นตัวเองไม่ได้เอะใจอะไร หรือไม่มีกะจิตกะใจจะคิดค้นคว้าหาเหตุผลที่มากไปกว่า "ดวงตก"...ถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแก้ไขแต่ละเรื่อง ๆ ไป...ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น ๆ ก็ให้ความเห็นอกเห็นใจหรือช่วยเหลือกันไป...แต่เมื่อเวลาผ่านมา ผู้เขียนได้สังเกตและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพลังจากกระแสใจ ได้กลับไปพิจารณาทบทวนเหตุการณ์เรื่องราวเหล่านั้น จึงพอจะได้เห็นค่ะว่า ที่เขาเรียก "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" นั้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไรจากประสบการณ์ตรงของตนเอง ครอบครัว และผู้คนรอบข้าง...ก็คงไม่ผิดถ้าจะเรียกแบบนี้ว่า "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" นะคะเมื่อมีการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว คนในครอบครัวที่ยุ่งอยู่แล้วกับการจัดการเรื่องการสูญเสียนี้ ก็ยังต้องเจอกับการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ การเจ็บป่วย และสูญเสียทรัพย์สิน ให้ยุ่งวุ่นวายเข้าไปอีกคนตายก็ตายไปแล้ว ส่วนคนอยู่ก็ป่วย อาการถ้าไม่หนัก ก็เรื้อรัง กว่าจะหายก็นานเอาเรื่องนอกจากสูญเสียคนแล้ว ยังสูญเสียเงินทองซ้ำอีก เพราะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงเรื่องเงินประกันหรือเงินสงเคราะห์่รถเพิ่งออกจากอู่ซ่อมมาหยก ๆ ก็มาเจออุบัติเหตุ ต้องเข้าอู่ซ่อมยาวอีกแล้วเพิ่งทะเลาะแตกหักกับแฟนหรือเพื่อนรัก ก็มาเจออุบัติเหตุ เจ็บตัวด้วย เสียทรัพย์สินด้วยเพิ่งเลิกกับแฟน ยังอกหักอยู่ ก็มาพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งจริงอยู่ หลายคนอาจจะบอกว่า เรื่องร้าย ๆ เหล่านี้ มันก็เป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นได้...ตราบที่ยังมีชีวิต ก็ต้องมีการแก่ - เจ็บ - ตาย...มีความประมาท ก็ต้องมีอุบัติเหตุ...มีความบกพร่อง ก็ต้องมีความเสียหาย...มีมิจฉาชีพที่หาช่องทางหลอกลวง ก็ต้องมีคนถูกหลอกเพราะรู้ไม่เท่าทัน...มีสิ่งที่ชอบใจได้ ก็มีสิ่งที่ไม่ชอบใจได้...รักได้ ก็เลิกรักได้ ฯลฯ...ส่วนการมาประสบพบกันของเหตุการณ์ร้าย ๆ มันก็เป็นเรื่องของโอกาส ที่คนทั่วไปมักเรียกว่า "บังเอิญ" ไม่เห็นจะแปลกอะไร...แต่ถ้ามองเหนือยิ่งขึ้นไปกว่านี้ มันย่อมมีเหตุที่มาของความเสื่อม ความบกพร่อง ความประมาท ความไม่เท่าทันกลลวง ความไม่พอใจ และความผันแปรต่าง ๆ เหล่านั้น...ซึ่งเมื่อพิจารณาดูจากกรณีต่าง ๆ ทั้งของตนและคนรอบข้าง ผู้เขียนก็พบว่า มันเป็นช่วงจังหวะที่เรา "เผลอให้ใจวุ่นวายอยู่ในความขุ่นมัว" ค่ะ"ความขุ่นมัว" ไม่ได้หมายถึงความหงุดหงิดเท่านั้น แต่ยังนับรวมความเศร้าโศกเสียใจ ความโกรธเกลียด และความกระหายอยากได้อยากมี เอาไว้ด้วย ตามที่ภาษาพระท่านเรียกว่า โมหะ โทสะ ราคะ นั่นแหละค่ะ...อารมณ์ลบ ๆ ร้าย ๆ เหล่านี้ขังใจให้จดจ่ออยู่กับมัน ให้ใจอยู่ในโหมดอารมณ์นั้น ๆ ตลอด...เห็นอะไรน่ารำคาญก็ต้องหงุดหงิดเข้าไว้ เมื่อสูญเสียอะไรไปมันก็ต้องเศร้าจึงจะเหมาะสม ไม่ถูกใจไม่ชอบใจอะไรมันก็ต้องโกรธมันไป เห็นว่าอะไรดีก็ต้องอยากได้ ๆๆ มาก ๆ สิ ถึงจะได้มา...สำหรับผู้เขียนแต่ก่อนโน้น ที่ไม่มีอะไรคอยตักเตือนใจเลย ก็เลยเผลอให้ใจวุ่นวายอยู่กับอารมณ์แย่ ๆ เหล่านั้น โดยไม่รู้เลยว่ากระแสใจเช่นนั้นเป็นการสร้างพลังงานไม่ดีให้กับเราเอง...แล้วพลังงานไม่ดี ๆ นี่แหละ ก็จะดึงดูดเอาสิ่งไม่ดี ๆ ทั้งหลายมารายล้อมเรา ทั้งคนใจร้าย และอะไร ๆ ที่มีปัญหา ที่พร้อมจะให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับเรา...สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้ว ก็เลยย่ำแย่เข้าไปใหญ่ค่ะ...ถึงเรามองไม่เห็น ชั่งตวงวัดไม่ได้ ถึงพลังงานไม่ดี ๆ เหล่านั้น แต่ผลของมันที่เราได้ประสบด้วยตนเองหรือรับรู้เรื่องของคนใกล้ชิด คือเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่มารุมเร้าในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน มันก็ทำให้เรายากที่จะปฏิเสธเรื่องพลังจากกระแสใจนะคะขณะที่ใจกำลังวุ่นวายอยู่กับอารมณ์แย่ ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ก็ไม่มีเวลาสำหรับอารมณ์ดี ๆ อื่น ๆ สักเท่าไหร่...ความใจเร็วด่วนได้ ความประมาทเลินเล่อ ความพลั้งเผลอไม่รอบคอบ ความเซื่องซึมเหม่อลอย ความหลงลืม ความเสื่อมโทรมของร่างกาย ก็ตามมา...ภาษาชาวบ้านอาจบอกว่า "เหมือนเราโง่ลง สติสตังไม่ค่อยมี"...อุบัติเหตุ ความผิดพลาดเสียหายต่าง ๆ ก็ตามมาได้ง่าย...แถมจะคิดอ่านทำการแก้ไขอะไร มันก็ดูจะตื้อไปหมด เรื่องเล็กก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ไป...ส่วนเรื่องที่เกิดกับสุขภาพร่างกาย ถ้าสงสัยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร...ก็ดูอย่างตอนที่เราอยู่ในอารมณ์ไม่ดี ขุ่นมัวมาก ๆ ใจไม่เป็นสุข ภูมิต้านทางเราจะลดลง เจ็บป่วยง่าย เหนื่อย - อ่อนเพลียง่าย...จะทำให้พอจะเข้าใจและยอมรับด้วยหลักฐานว่า เมื่อมีอะไรมากระทบใจแรง ๆ ก็ย่อมส่งผลแรง ๆ ต่อร่างกาย ถ้าใครมีปัญหาสุขภาพแอบแฝงอยู่แล้ว มันก็พร้อมแสดงตัวออกมาในตอนนั้นค่ะ...เห็นไหมคะ? ว่า "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" เกิดขึ้นได้ เพราะ "เคราะห์ร้ายมักเล่นทีเผลอ"มาถึงตอนนี้ ผู้เขียนเลยยิ่งเห็นคุณค่าของคำเตือนคำสอนจากพระท่าน ที่ชาวพุทธต่างก็เคยได้ยินกันมาจนคุ้นหู ที่ว่าให้พยายามลด - ละ - เลิก อารมณ์โลภ - โกรธ - หลง เพื่อให้ทุกข์ในชีวิตลดลงอย่าปล่อยให้ใจจมอยู่กับอารมณ์ขุ่นมัว ความเศร้าโศกเสียใจ ความโกรธเกลียดเคียดแค้น หรือแม้กระทั่งความรักหลงใหลในอะไร ๆ จนมากเกินไป อารมณ์เหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นเหมือนไฟเผาผลาญใจตน และทำให้ขาดสติเมื่อไม่มีสติคุ้มครองรักษาใจ ความเสียหายที่ไม่คาดคิดก็พร้อมจะตามมาการฝึกสติและสมาธิ ช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์และอารมณ์ร้าย ๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้ชีวิตเป็นสุขยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพกาย และถึงแม้สุขภาพกายไม่ดี ก็ไม่ส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพใจเราหลีกเลี่ยงพลังเคราะห์กรรมไม่ได้ แต่ลดแรงปะทะได้ด้วยพลังบุญซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้นซึ่งก็ต้องยอมรับจริง ๆ ค่ะว่า แต่ก่อนผู้เขียนไม่ค่อยจะเอาคำเตือนคำสอนเหล่านั้นมาใช้กับชีวิตเลย...เพราะรู้สึกว่ายาก และยังไกลตัวปุถุชนคนที่มีชีวิตวุ่นวายอยู่ในเรื่องโลก ๆ อย่างเรา...แล้วก็ไม่ทราบจริง ๆ นะคะว่า นอกจากทำให้เราเป็นคนใจเย็น ดูเป็นคนดีธรรมะธรรมโมแล้ว ยังจะช่วยอะไรในชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปของเราได้อีก...สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยังไม่เห็นผลเสียของการเผลอปล่อยให้อารมณ์ลบ ๆ ครอบงำใจตัวเองค่ะ...แต่ตอนนี้ซึ้งเลยค่ะ ทุกคำอันเป็นธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายนั้น ท่านเตือนเราสอนเราไม่ให้เราประมาทเผลอพาใจให้เป็นทุกข์ เพราะสิ่งที่ทำให้ยิ่งทุกข์มันพร้อมเข้ากระหน่ำเราค่ะแม้เคราะห์ร้ายจะเป็นของคู่กับโลก ใคร ๆ ก็ต้องเจอ แต่จะทำอย่างไรให้เราสามารถตั้งรับสถานการณ์ได้ทัน ไม่ให้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเราจนล้มลงไม่เป็นท่า? อะไรจะช่วยให้เราไม่มีทีเผลอที่ทำให้เคราะห์ร้ายรุมเข้าเล่นงานเราได้ถนัด?...คำตอบชัด ๆ ก็ไม่พ้นที่จะมาลงที่ "ธรรมะ"...การศึกษาและปฏิบัติตามธรรมะช่วยได้มากจริง ๆ นะคะ เป็นดังคำสรรเสริญคุณพระพุทธ - พระธรรม - พระสงฆ์ จากผู้ได้สัมผัสอานุภาพยิ่งใหญ่นี้ ที่ว่า "ที่พึ่งอื่นใดในโลก คุณค่าอื่นใดในโลก ยิ่งกว่าพระรัตนตรัยนั้น ไม่มี"...ผู้เขียนได้พบว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายศึกษาปฏิบัติตาม สืบทอด และนำมาสั่งสอนเรา บอกให้รู้ถึงสาระคุณค่าแท้จริงของชีวิต พาให้สร้างพลังดี ๆ คุ้มครองตน และสอนให้มีสติปัญญาประคับประคองใจไม่ให้เผลอไผลสร้างพลังร้าย ๆ ทำลายตนเองค่ะทั้งในช่วงเวลาที่เคราะห์ร้ายยังไม่จางหาย และระหว่างที่รอด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่รู้ว่าเคราะห์ร้ายหน้าใหม่จะมาเยือนเมื่อไหร่...สิ่งที่ดีที่สุดที่ใครก็สามารถทำได้คือ สร้างพลังดี ๆ เป็นหลักแก่ชีวิตจิตใจ และไม่เผลอสร้างพลังร้าย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก...แล้วเราจะได้เห็นด้วยความซาบซึ้งใจว่า เรากำลังเห็นและทำตามธรรมะสุดท้ายของพระพุทธเจ้าค่ะ...ด้วยความปรารถนาดีจากมรรษยวรินทร์."ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"ปัจฉิมโอวาท ก่อนพุทธปรินิพพานภาพปก โดย Jcomp จาก Freepik.comภาพประกอบที่ 1 โดย Freepik จาก Freepik.comภาพประกอบที่ 2 โดย Freepik จาก Freepik.comภาพประกอบที่ 3 โดย Freepik จาก Freepik.comภาพประกอบที่ 4 โดย Rawpixel.com จาก Freepik.comภาพประกอบที่ 5, 6, 7, 8 โดย มรรษยวรินทร์ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !