ความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่นที่ทำแล้วสบายใจ บุญชำระบ้าน หนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง ทุกคนในหมู่บ้านต้องเข้าร่วมโดยการวัดฮอบหัวแทะคีง เพื่อนำไปรวมกันที่หน้าหลักบ้าน ที่ชาวบ้านเคารพและเรียกว่ายายหลักบ้าน เป็นการนับถือเพศแม่ตามความเชื่อ ประเพณีความเชื่อที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก ภาพกระทงสามเหลี่ยมเล็ก ในกระทงประกอบด้วยข้าวแดง ข้าวดำ ดอกไม้ ล้อมรอบด้วยด้ายสีแดงหลายเส้น ความเชื่อด้วยการประจักษ์ด้วยสาย ชาวภูไท กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณตีนเขา ยังคงความเชื่อในเรื่องการเลี้ยงผี เซ่นไหว้ต่างๆแต่นับถือศาสนาพุทธ เป็นกลุ่มที่มีภาษาที่ใช้ในการพูด คุยกันเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่น คำว่า ไปไหน ก็ใช้ว่า ไปผะเหล๋อ หัวใจ ก็ใช้ว่า โห๋เจ๋อ เป็นต้น เหตุการณ์ที่เคยพบเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องหลักบ้าน ครั้งนั้นชายหนุ่มขับรถมาจากแดนไกลผ่านมา ทนไม่ไหวกับการรอเข้าห้องน้ำ คืนนั้นชายหนุ่มจึงได้ไปยืนทำธุระข้างกับหลักบ้านที่ชาวบ้านทุกคนเคารพนับถือ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับถนน ใครผ่านไปผ่านมาไม่รู้จักก็จะมานั่งพักอยู่ข้าง ๆ หลังจากนั้นทำให้คนในหมู่บ้าน ผู้ชายเสียชีวิตแบบไม่ป่วยหรือที่เรียกว่าตายโหงต่อกันเรื่อยๆ ทางเจ้าบ้านจึงมีการ ม๋อ คือการส่องดูเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งไม่ดีขึ้น โดยหมอม๋อ จึงได้รู้ว่ามีคนมาหลบหลู่ทำสิ่งไม่ดีกับหลักบ้าน ถ้าหากเราไม่ไปหลบหลู่สิ่งที่เรามองไม่เห็นก่อน ก็จะต่างคนต่างอยู่ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่ดีขึ้น จู่ๆ คนในบ้านเกิดเหตุไม่ดี มีผู้เสียชีวิตต่อเนื่องกันบางคนนั้นแทบจะไม่มีสาเหตุว่าเสียชีวิตเพราะอะไร จากหนึ่งศพก็เสียชีวิตทับซ้อนกันจนทำให้เกิดความผิดปกติ ความเชื่อจะมีการแก้อยู่ตลอดเวลา ในบ้านจะมีหมอ ธรรม์ หมอส่อง หมอเหย๋า หมอคำนวณเลข ใครจะทำหน้าที่อะไรเมื่อถึงหน้างาน แล้วต้องทำอย่างรอบคอบ เพื่อความปลอดภัย ฮอบหัวแทะคีง การวัดตั้งแต่สะดือถึงต้นคอ และวัดรอบศรีษะของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ฮอบหัวแทะคีง เป็นภาษาภูไท ภาษาไทยกลางจะใช้ว่า รอบหัว คือการนำเส้นเทียนมาวัดรอบศรีษะของแต่ละคนในครอบครัว ส่วนแทะคีง คือการวัดตั้งแต่ สะดือแล้วลากขึ้นไปจนถึงต้นคอ เมื่อเสร็จแล้วก็จะมัดรวมกันเป็นครอบครัว เพื่อนำมาทำพิธี ในการชำระบ้าน (การทำความสะอาดบ้าน) พร้อมกับกระทงหนึ่งกระทง ทำโดยต้นกล้วยนำมาหักเป็นสามเหลี่ยม และทำเป็นห้องต่างๆ เมื่อแยกเสร็จก็จะใส่อาหาร ใส่ต้นกล้วยที่ทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ พร้อมทั้งมีด้ายสีต่างๆ วนรอบกระทง และยังมีคำข้าวที่วนรอบตัว ไล่สิ่งชั่วร้ายของแต่ละคนวนรอบตั้งแต่หัวจนถึงเท้า จากนั้นก็จะนำทั้งหมด มาวางรวมกันที่กระทง ในนั้นก็จะมีด้าย มีก้อนหิน และขวดน้ำเพื่อมาร่วมในงานพิธี เพื่อที่จะรับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในบ้าน นำไปใส่ในน้ำอาบบ้าง ก้อนหินนั้นก็จะต้องนำไปโยนใส่บนหลังคาบ้าน เพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายผีออกจากบ้าน ทุกคนในหมู่บ้านจะมารวมตัวกันในพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ ก่อนพิธีหนึ่งวัน จะเป็นคุณยายคุณตาที่ไปเตรียมกระทงบ้านกระทงเมือง ในพิธีจะใช้เวลาสวดด้วยพระสงฆ์จำนวนมาก ร่วมกันมาทำพิธีเพื่อความอยู่สุขของชาวบ้านชาวเมือง ในพิธีก็จะเผาเทียนไปเรื่อยๆ จนหมด เทียนเหล่านี้จะถูกนำมาเผาทั้งหมด ทีละเส้นๆ ในพิธีจนหมดสวดมนต์ไปเรื่อยๆพิธีศักดิ์สิทธิ์มาก ทุกอย่างนั้นจะต้องราบรื่นเพราะถ้าหากว่าไม่ราบรื่นจะส่งผลต่อดวงชะตาและคนในหมู่บ้าน ทุกอย่างจึงตั้งใจทำไปเรื่อยจนมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ทุกอย่างนั้นจะต้องมีเสียงปืนเสียงปะทัดที่จุดไล่สิ่งชั่วร้ายออกทั้งหมด เมื่อพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว ทางผู้จัดจะนำกระทงทั้งหมดนั้นไปวางไว้รอบทางเข้าหมู่บ้านทั้งหมดสี่ทิศ ระหว่างทางนำกระทงไปวางจะจุดปะทัดตลอดทางเพื่อไล่ผีหรือสิ่งไม่ดีออกไป ชาวบ้านทั้งหมดจะช่วยกัน แต่หลังจากพิธีจบลง ก็จะพากันเดินเข้าไปเอาด้ายสายสิญจน์ในพิธี และก้อนหิน แต่ที่สำคัญขาดไม่ได้ คือการนำเอาน้ำในพิธีนั้นไปใส่น้ำอาบ นำไปพรมหัวบ้าง บางบ้านก็จะนำไปใส่น้ำดื่มเล็กน้อยเพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้เขียนเองก็ไปตักน้ำใส่ขวดนำมาใส่น้ำอาบที่บ้าน ซึ่งมีทั้งหมดเก้าโอ่งก็จะตักทุกโอ่ง ใส่รวมกันในขวด จากนั้นนำก้อนหินในพิธีมาที่บ้าน โยนสุดกำลังขึ้นหลังคาบ้าน โยนจนกว่าก้อนหินนั้นจะค้างอยู่บนหลังคา ความเชื่อส่วนบุคคล ตอนที่ผู้เขียนเองเคยได้ไปดูพิธี สิ่งที่ได้คือความอบอุ่นของทุกคนในหมู่บ้าน ที่เป็นพี่น้องกันทั้งหมด ขณะที่พระสวดตอนนั้นในพิธีที่พระกำลังสวดกังวาล ไฟในโอ่งทั้ง 9 ก็กำลังลุกโซน มีคนแก่คนหนึ่งเล่าว่า ถ้าหากพระสวดรื่นไหลไม่มีอะไรมาขัด บ้านก็จะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ถ้าสวดแล้วหยุดบ้างสะดุดบ้าง ลืมบ้าง มีเหตุการณ์ที่ทำให้พิธีต้องหยุดครานั้นก็จะจะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นในบ้าน ถามว่าเชื่อไหมกับพิธีนี้ ถ้าหากเราได้ลองเข้ามาสัมผัสเอง ก็จะคงยังเชื่อในเรื่องของขวัญและกำลังใจ เชื่อในเรื่องของหลักบ้านที่เราเคารพกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยขอให้ได้ในสิ่งที่หวังไว้ หรือที่บ้านเรียกว่า บ๊ะ หลังจากได้แล้ว ก็จะมาแก้ในสิ่งที่บ๊ะไว้ อาจจะเป็นการทำปราสาทผึ้ง ทำสังฆทาน เป็นเจ้าภาพกฐิน ก็จะทำให้คนที่ขอนั้นได้สร้างบุญใหญ่ให้ตัวของตนด้วย พ่อเฒ่าจ้ำ (เจ้าปู่) ได้รับคัดเลือกในพิธีเสี่ยงทาย ซึ่งเมื่อเสี่ยงแล้วจะต้องทำหน้าที่เฒ่าจ้ำตลอดไปจนกว่าจะเสียชีวิตถึงจะมีการคัดเลือกใหม่ หน้าที่ของเจ้าปู่ คือจะคอยดูแลบ้านเมือง เวลาที่ลูกหลานจะไปสอบ จะเดินทางไกล ก็จะนำดอกไม้เทียนคู่ไปหาเจ้าปู่เพื่อบอกกล่าว และผูกข้อต่อแขน บนบาน กล่าวถ้าสำเร็จตามที่หวังจะเลี้ยงไก่ต้มเหล้าเป็นการตอบแทน หรือจะทำอะไรแล้วแต่ผู้บนบานเอง วันไหนมีคนในหมู่บ้านออกรถใหม่ ก็จะนำลงไปเลี้ยงเจ้าปู่ และให้เจ้าปู่เจิมรถใหม่ ขึ้นนั่งและบีบแตรให้เสียงดังเป็นที่รู้จัก ปกปักรักษา คนในหมู่บ้านจะผลัดกันลงไปเลี้ยงเจ้าปู่ จนครบทุกหลังคาเรือน บางบ้านสามครอบครัวอาจจะเลี้ยงพร้อมกัน วิธีการคือ การนำดอกไม้เทียนคู่ ไปที่บ้านเจ้าปู่จากนั้นก็สอบถามเรื่องวันดีหรือไม่ดี ข้อห้ามข้อเดียวที่ทำให้เลี้ยงเจ้าปู่ไม่ได้ คือวันนั้นมีคนตายในหมู่บ้าน วันนั้นจะห้ามเลี้ยง ถือเป็นวันไม่ดี จนกว่าจะนำศพออกจากบ้านจึงเลี้ยงได้ เจ้าปู่ตา ที่ชาวบ้านเคารพ ซึ่งในหนึ่งปีนั้นแต่ละบ้านจะต้องมีการเลี้ยงเจ้าปู่ คือการนำต้มไก่หนึ่งตัวลงไปเลี้ยงเจ้าปู่ เอาส่วนของหัว ปีก และขา นำไปเลี้ยง ส่วนที่เหลือก็จะทำซั่วเพื่อทานด้วยกัน ต้องทานจนหมดห้ามนำกลับบ้าน เพราะว่าเรานั้นถวายแล้ว เพียงแต่ขอทานสิ่งที่เหลือเท่านั้นเอง ก็จะทำให้ครอบครัวได้ทานอาหารพร้อมหน้ากันในรอบปีด้วย เจ้าปู่จะผูกข้อต่อแขนให้กับทุกคนที่ไปหา พร้อมทั้งอวยพรให้มีความสุขกันทุกคน เครื่องเซ่นเจ้าปู่ ที่แต่ละบ้านจะต้องเตรียมลงไปเลี้ยงเจ้าปู่ หนึ่งปีแต่ละครอบครัวจะเลี้ยงหนึ่งครั้ง จะต้องมีไก่หนึ่งตัว แต่เจ้าปู่จะรับเพียงหัวปีกไก่แบะขาไก่ มีเหล้าขาวหนึ่งขวดน้ำเปล่า ไหมจีบขันธ์ห้า จะนำใส่ใบตองกุงที่จะเด็ดในบริเวณป่ารอบศาลปู่ตา เมื่อของครบก็จะเรียงคิวกันขึ้นให้เจ้าปู่ผูกแขน เมื่อผูกเรียบร้อยก็จะทำซั่วไก่ (ต้มไก่ปรุงรส)กินข้าวกัน ต้องทานให้หมด เพราะตามธรรมเนียมคือห้ามนำกลับบ้าน การเสี่ยงเจ้าปู่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเองก็เคยเข้าร่วมในพิธีด้วย สิ่งที่ได้คือกำลังใจและพรจากผู้เฒ่าผู้แก่ การต้มไก่เพื่อเสี่ยงเฒ่าพ่อจ้ำของหมู่บ้าน พิธีจะเน้นไปในเรื่องความเชื่อผี ที่มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตายาย จะมีการถามและคุยกับหม้อต้มไก่ ด้วยสำนวนภาษาภูไท ถ้าหากน้ำท่วมไก่สูงจนล้นออกมาแปลว่าใช่ สิ่งนี้อยู่ที่ความเชื่อส่วนบุคคล ผู้เขียนลองมองไปที่ไฟนั้น ไฟไม่ได้ลุกโซน ตอนนั้นไฟเริ่มที่จะมอดลงแล้ว แต่น้ำในหม้อยังท่วมสูงแล้วสูงอีก ตามคำบอกของคนจับไมค์ บางสิ่งเชื่อตามบรรพบุรุษ เราจะไม่หลบหลู่แม้ว่าเราจะเป็นคนรุ่นใหม่ เรื่องนี้ถ้ามองไปทางด้านวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง แต่ถึงพิสูจน์ออกมาก็ไม่มีผลเพราะเป็นความเชื่อของคนทั้งหมู่บ้าน ในเรื่องของการเสี่ยงฝนตก ตอนนั้นก็เป็นจริง เมื่อการต้มไก่เสี่ยงออกมาว่าน้ำฝนปีนี้เยอะหน่อยนาข้าวในที่ลุ่มไม่ได้ผล ก็เป็นอย่างว่า เชื่อในสิ่งที่เห็น เชื่อในผลที่เกิดพอเท่านี้ ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว)ภาพถ่ายที่สามได้รับการอนุญาตจากบุคคลในภาพในการเผยแพร่เรียบร้อยแล้วค่ะ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !