เมื่อวันก่อนJasmine ได้มีโอกาส ไปวัดเขาพระ จังหวัดนครนายก ที่โบสถ์ เค้ามีช้างเสี่ยงทายให้ญาติโยมได้มาอธิษฐานเสี่ยงทาย งานนี้ พี่ๆน้องๆ ก็เลยเข้าเสี่ยงทายกัน เค้ามีกติกาว่า 1. ถ้าเป็นชายให้ใช้นิ้วก้อยข้างซ้ายยก / ถ้าเป็นหญิงให้ใช้นิ้วก้อยข้างขวายก (นิ้วเดียว) ปล. การใช้นิ้วที่ต่างกันน่าจะเพราะผู้ชายมีกำลังมากกว่าจึงให้เป็นนิ้วก้อยซ้ายยก ส่วนหญิงกำลังมือย่อมน้อยกว่า จึงให้ใช้นิ้วก้อยซ้ายแทน3.ให้อธิฐาน ถ้าสิ่งนั้นจะสำเร็จขอให้ยกขึ้น4.ให้อธิฐานเรื่องเดิม ถ้าสิ่งนั้นจะสำเร็จขอให้ยกไม่ขึ้นในข้อ3. ข้อ 4.น่าจะเพื่อเป็นการเช็คทบทวนคำตอบเพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำอีกครั้งตอนแรกเห็นน้องคนหนึ่งไปอธิฐานยกดู ครั้งแรกยกขึ้นแบบลอยเลย แต่พอครั้งที่2ก็ยกไม่ขึ้น ซึ่งก็ถือว่า สิ่งที่อธิฐานนั้นสำเร็จซึ่งยังคิดว่าน้องเค้าแกล้ง น้องอีกคนจึงลองดูอธิฐานถามโดยระบุเวลาชัดเจนถามว่าภายในปีหน้าจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่จะทำหรือไม่ ถ้าสำเร็จขอให้ยกช้างขึ้นจากนั้นก็ยกช้าง ตอนยกน้องเค้าบอกยกแบบไม่คิดว่าจะได้หรือไม่ได้ ไม่ได้คิดอะไร อย่างหนึ่งเพราะเค้าเห็นพี่เค้ายกก่อนแล้วก็ยกได้ง่ายๆ เลย แต่พอเค้าไปยกกลับยกไม่ขึ้น พยายามจะยกให้ได้ (เพราะว่าถ้ายกได้คือจะสำเร็จ) ก็ยกไม่ได้ เค้าลองอีกครั้ง ครั้งที่2 อธิฐานเรื่องเดิม แต่บอกว่าถ้าสำเร็จขอให้ยกไม่ขึ้น มันก็ยังคงยกไม่ขึ้นเหมือนเดิมเรามากันหลายคนได้อธิฐานยก ซึ่งมีทั้งได้และไม่ได้ คราวนี้Jasmine เลยอยากรู้ในวิชานี้ เลยได้อธิฐาน ก่อนเริ่มต้นอธิฐาน Jasmine ได้สื่อขอเข้าศึกษามิได้มีเจตนาหลบหลู่ ขอให้ ความรู้ในวิชานี้จงปรากฏ จากนั้นก็ยกตามกติกา โดยอธิฐานว่า ถ้าสำเร็จขอให้ยกช้างขึ้น ใช้นิ้วก้อยขวายก ไม่น่าเชื่อว่าจะยกได้ เพราะโดยปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยมีแรง ยิ่งเป็นนิ้วก้อยยิ่งไม่น่ายกได้ แต่กลับยกช้างได้ คราวนี้ลองใหม่ Jasmine อธิษฐานถ้าสำเร็จขอให้ยกไม่ขึ้น ปรากฎ คือjasmine ยกไม่ขึ้น พยายามเท่าใดก็ไม่ขึ้น มันน่าแปลกทั้งที่พยายามใช้แรงที่เท่าเดิม ลองกับตัวเองเลย จึงขออนุญาตเจ้าของวิชาเข้าศึกษาวิชาของเค้า อย่างละเอียด ดูที่ใต้ฐานของช้างจะมียันต์เขียนอยู่ ยันต์นี้เป็นอักขระที่เจ้าของวิชาได้ลงและกำกับไว้ ปรากฎมีคำตอบว่าเป็นยันต์เปิดโลก (หมายถึงเป็นยันต์ที่จะเปิดให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้น) ยันต์มีพลังไหลเวียนตามอักขระที่ลงไว้อยู่จากนั้นก็ศึกษาที่ตัวช้าง ที่จริงก็ทำด้วยปูนหล่อตันแล้วทาสีทอง แต่ในที่นี้ เค้ามีหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อม และเป็นตัวที่รวบรวมพลังของผู้อธิฐาน ที่ส่งลงมา เชื่อมไปยังยันต์ใต้ฐานช้างจากนั้นมามองที่พลังการอธิฐาน Jasmine ลองทำเองเลย พลังจะเกิดขึ้นจากการตั้งจิต แล้วกล่าวอธิฐานขึ้น (คำถามต้องเป็นคำถามปลายปิด ให้คำตอบมีเพียง YES หรือNO เท่านั้น) เมื่อคลื่นพลังอธิฐานลงไป จะเข้าไปที่ตัวช้าง หมุนวนแล้วเข้าเชื่อมกับยันต์ที่ฐานช้างที่เราใช้นิ้วก้อยจับเชื่อมไว้ คลื่นพลังคำถามที่จิตตั้งมั่นนั้น ไปกระทบคลื่นพลังของยันต์ ที่เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคำอธิฐานนั้นจะเป็นรหัสที่จะไปเชื่อมตรงกับรหัสที่ยันต์ปรากฎขึ้น พลังงานนั้นเมื่อตรงรหัสกัน (YES) มันก็จะเป็นมวลคลื่นสีทองๆ ม้วนกลับที่ตัวช้าง เข้าสู่จิต จิตรับคลื่นพลัง (รหัส) นี้ไปที่สมอง สมองก็จะส่งคำสั่งไปที่ร่างกาย โดยเฉพาะที่ปลายนิ้วก้อย ให้มีกำลังสามารถยกของหนัก (ช้าง) ได้และเมื่อเรากำหนดอธิฐานอีกครั้ง ด้วยคำถามเดิม แต่ขอให้เราไม่สามารถยกช้างนี้ได้ (ที่จริงเป็นการเช็คคำตอบให้แน่ใจอีกครั้ง) เมื่อคำตอบเป็นเช่นเดิม (สำเร็จ) จิตได้รับคลื่นพลังงานการแปลพลังของยันต์ส่งมายังจิต จิตจะส่งคลื่นพลัง (รหัส)นี้ ไปยังสมอง สมองก็จะส่งไปยังร่างกายโดยเฉพาะนิ้วก้อยที่ยกให้ไม่สามารถผลิตกำลังพอที่จะมีมีแรงที่ยกช้างได้คลื่นพลังทั้งหมดที่เกิดขึ้น เห็นเป็นกระแสคล้ายสายฟ้า วิ่งไหลเชื่อมกัน โดยปลายของกระแสพลังสามารถเชื่อมกันพอดีแต่ถ้าคำตอบนั้นเป็น NO คลื่นพลังที่อธิฐานจากจิตก็จะคนละรหัสกับคลื่นที่เกิดขึ้นที่ยันต์ เส้นคลื่นพลังก็ไม่สามารถเชื่อมกันได้ ผลคือคลื่นพลังจากยันต์ก็ไม่สามารส่งมาถึงช้าง และเคลื่อนเข้าสู่จิตได้ จิตไม่ได้รับพลังความสำเร็จนี้จึงไม่มีคำสั่งส่งไปยังสมองให้สมองส่งคำสั่งไปยังปลายนิ้ว ที่จะทำให้เกิดพลังในการยกช้างได้ (ปลายสายคลื่นพลังเป็นรหัสที่ไม่ตรงกัน เชื่อมกันไม่ได้)คำตอบจะแม่นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ 1 ขึ้นอยู่กับคำถามที่ถามด้วย ว่าถามได้ถูกต้องชัดเจนหรือไม่ 2 ขึ้นอยู่กับความเชื่อความศรัทธา และกำลังของจิตผู้ถามด้วยที่จริง เราสามารถดูได้จากพลังที่เกิดขึ้น ตั้งแต่จิตตั้งคำถามส่งคลื่นไปยังช้าง (ยันต์ใต้ฐานช้างรับ) พลังที่เกิดขึ้นมาสื่อที่ตัวช้างก็จะบอกเราได้ว่าYES หรือNO โดยดูได้จากความสว่าง ความมืดของตัวช้างแล้ว (ถ้าสว่างคือYES ถ้ามืดคือNO) แต่ผู้นั้นต้องมีตาทิพย์จึงจะสามารถเห็นได้เมื่อกลับมาบ้าน ตั้งใจจะเขียนเล่าให้เพื่อนๆฟัง จิตก็ไปเห็นถึงผู้สร้างวิชานี้ โดยจากนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ให้กำเนิดวิชานี้มีชาวบ้านผู้หนึ่ง แต่งตัวคล้ายคนหาของป่า เดินหลงเข้าไปในป่าลึก และตกเข้าไปในหลุม ที่เป็นทางเดินลึกเข้าไปได้ เค้าเดินออกมาจนถึงปากทางถ้ำ แต่มีก้อนหินขนาดใหญ่ปิดปากถ้ำ มีเพียงแสงที่รอดช่องให้พอเห็น เค้าพยายามยกหิน ผลักหินที่ปิดปากถ้ำแต่ด้วยน้ำหนักของหินเค้าไม่สามารขยับได้เลย เวลาก็ยิ่งมืด ความเป็นห่วงครอบครัว ประกอบกับความกลัวสัตว์ร้ายต่างๆที่อาจอยู่ในถ้ำตนจะไม่สามารถมองเห็น ใจก็เริ่มนึกท้อ เค้าพยายามผลักหินอยู่พักใหญ่ๆ จนฮึกเฮือกสุดท้ายว่าแล้วอธิฐานถามว่า ถ้าข้าสามารถมีวาสนาที่จะมีชีวิตอยู่ขอให้มีกำลังสามารถผลักหินทีปิดปากถ้ำนี้ออกไปได้ แล้วเค้าก็นึกถึงเจ้าป่าเจ้าเค้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เค้านับถือ แล้วลงนั่งสมาธิให้จิตสงบนิ่งแล้วรวบรวมกำลังผลักและยกหินที่ปิดปากถ้ำ หินเคลื่อนน่ะ แล้วเค้าก็ออกมาได้ เมื่อกลับมา ได้ 2วัน เค้ากลับมานึกถึงเหตุการณ์นั้น แล้วคิดว่านี่ถ้าเค้าไม่มีสติ ระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ฮึดทำให้สำเร็จเราคงตายในถ้ำนั้นแน่ ถ้าเราจะตอบแทนคุณท่านที่ได้ช่วยเราโดยการพยายามฝึกฝนต่อยอดสิ่งที่เราทำแล้วสอนผู้อื่นให้ได้ใช้เมื่อเกิดภัยหรือเรื่องเดือดร้อนให้ได้รับรู้ล่วงหน้า เพื่อจะได้แก้ไขหรือไม่ก็เป็นกำลังใจในการเดินหน้าต่อก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง จากนั้นเค้าก็เริ่มทบทวน ขั้นตอนที่เค้าทำ มันเริ่มจากความทุกข์ร้อนที่เกิด เป็นตัวตั้ง และกำหนดจิตถามว่าสิ่งที่ตั้งใจในการแก้ไขนั้นจะสำเร็จไหม เค้าคิดต้องมีสื่อที่จะบอก ตอนนั้นเค้าใช้ก้อนหินเป็นหลัก ในการสื่อ เค้าเลยคิดว่าน่าจะหาอะไรที่มีน้ำหนักเช่นกันแต่ควรเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่าก้อนหิน หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่คนนับถือเพื่อสร้างให้จิตมีความเชื่อมั่น เค้าเริ่มใช้หินแกะสลักเป็นรูปกระดองเต่า โดยทรงและความปกป้องคุมครองของกระดองที่เต่าใช้ มาเป็นหลักและจากนั้นเค้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ครูที่สอนวิชาในป่าให้เค้าฟัง ครูเค้าจึงแนะให้เปลี่ยนมาใช้พระพุทธรูปแทน และ แนะว่า ควรมียันต์เป็นอักขระเพื่อเป็นคาถาที่ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่น่าเชื่อถือ เค้าจึงสร้างยันต์และให้ชื่อในทำนองว่าเปิดโลก เปิดความลับสวรรค์เพื่อให้สื่อสอดคล้องกับความต้องการของวิชา จากนั้นก็เริ่มแผ่หลาย แต่ผู้เรียนต้องมั่นฝึกจิตให้มีกำลัง และถือศีลเพราะสิ่งที่เค้าใช้สื่อคือพระพุทธรูป แต่เมื่อวิชาแพร่ออกไป ทางเหนือ เค้านิยมช้างจึงเปลี่ยนจากพระพุทธรูปเป็นยกช้างแทน ซึ่งบางที่ก็ยังคงใช้พระพุทธรูปที่เรียกว่าการยกพระ เต่า หรือช้างแล้วแต่ท้องถิ่นนั้นๆ ปล.ในความเห็นของjasmine และคำสอนที่ต่อยอดของครูท่านว่า ในส่วนแรกของการใช้วิชานี้ ต้อง "ศรัทธา" เชื่อมมั่นในวิชาของเค้าก่อน และตั้งใจในการอธิฐาน คำถามต้องเป็นเรื่องเดียวที่เป็นคำถามท้ายปิด คำตอบมีเพียงyesหรือnoเท่านั้นและเมื่อได้คำตอบแล้ว ควรใช้ "ปัญญา'กำหนดให้รู้ต่อไปว่า ปัจจัยอะไรที่จะทำให้เราสำเร็จเช่นนั้น หรือปัจจัยอะไรที่เป็นเหตุให้เราไม่สำเร็จ และกำหนดหาทางแก้ไขสิ่งเหล่านั้น ภาพหน้าปกและภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยJasmine 7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์