คนเราเมื่ออายุถึงประมาณหนึ่งจะเริ่มยอมรับแล้วว่าหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ใช่เพราะเหตุผลของความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของดวง จังหวะเวลา การตัดสินใจในแต่ละครั้งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย บ่อยครั้งเรื่องที่เกิดมาจากปัจจัยมากมายจนยากจะอธิบายได้ ดังนั้น เรื่องของศรัทธาบางครั้งจึงไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่มีวิทยาศาสตร์หรือหลักของเหตุผลรองรับอยู่ หนังสือเล่มนี้จะมาขยายความว่าอย่างไหนคือศรัทธา อย่างไหนคืองมงาย หนังสือเขียนโดย ทันตแพทย์ สม สุจีรา ผู้ที่เข้าใจทั้งวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และที่มาของความเชื่อจากพุทธศาสนาที่มีกุศโลบายที่แยบยล ความรู้ความประทับใจที่ได้เรียนรู้จากครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าการตายแล้วเกิด วิทยาศาสตร์ยังไขข้อสงสัยไม่ได้ อาจเพราะองค์ความรู้ยังไม่ถึงจุดนั้น และส่วนหนึ่งที่บางคนเชื่อการตายแล้วไม่สูญ เชื่อว่าดวงชะตามีอยู่จริง ผีมีจริง ไม่ใช่เพราะความงมงาย แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นเคยประสบกับตัวเองมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องโชคดีโชคร้ายที่เกิดขึ้นแบบไม่น่าเป็นไปได้ ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ลิขิตชีวิตมนุษย์อยู่ในตัวของมนุษย์เอง ไม่ใช่จากสิ่งแวดล้อม นอกจากพันธุกรรมแล้ว ยังมีเรื่องของวิบากกรรมที่ซับซ้อนกว่าพันธุกรรมอยู่มาก ถือเป็นพิมพ์เขียวทางนามธรรมที่ได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วว่าในอนาคตเราจะเจอใคร และมีปฏิกิริยาอารมณ์ต่อคนนั้นอย่างไร ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งไม่ใช่เพราะหมอดูทำนายดวงเราแม่น แต่เราไปเชื่อแล้วทำตัวให้เข้ากับคำทำนายเอง ซึ่งความเชื่อสามารถทำให้เกิดความเป็นจริงได้ โดยจิตใต้สำนึกมีอานุภาพดลบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่เชื่อ เช่น เชื่อว่าสามีจะไปมีภรรยาน้อย เราก็หวาดระแวง ไปจุกจิกจู้จี้สามีเกินเหตุ แถมแววตาและน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทำให้ต้องหย่าร้างในภายหลัง ได้เรียนรู้ว่าคนที่เชื่อเรื่องดวงคือคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวและเมื่อล้มเหลวก็มักจะโทษดวงชะตา แต่ไม่เคยโทษตัวเอง เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ซึ่งจะทำให้แก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ยาก ได้เรียนรู้ว่าการเชื่อว่าสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตเกิดจากโชคชะตา จะทำให้ไม่วิเคราะห์พิจารณาตัวเอง นอกจากนั้นการเชื่อคำทำนายมากเกินไปจะฝังความรู้สึกลงลึกในจิตใต้สำนึก และจะเหนี่ยวนำชีวิตให้เป็นไปตามคำทำนาย ไม่ใช่เพราะหมอดูทายแม่น แต่เราดันไปทำตัวให้เข้ากับคำทำนายเอง ได้เรียนรู้ว่าการเชื่อเรื่องดวง บางครั้งทำให้พลาดโอกาสดีๆไป เช่น ตามหลักโหราศาสตร์บอกว่า คนเกิดวันอาทิตย์จะเป็นศัตรูกับคนเกิดวันอังคาร เมื่อมีคนที่เป็นปรปักษ์ตามลัคนามาชอบพอก็ไม่กล้าแต่งงานด้วย ซึ่งการไม่ถูกกันระหว่างราศีและวันเกิดมีอยู่มากมาย ถ้าชีวิตต้องพะวงกับเรื่องดังกล่าวจะยิ่งวุ่นวาย แถมไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าถ้าทำตามดวงแล้วชีวิตจะดีขึ้น ได้เรียนรู้ว่าการอธิษฐานแล้วทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ช่วย เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวเองมีกรรมเก่าอะไรที่รอแสดงผลอยู่บ้าง เช่น จะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง แต่ป่วยหนักออกเดินทางไม่ได้ ทำให้แคล้วคลาดจากการบาดเจ็บสาหัสได้ ถือเป็นการฟาดเคราะห์ ได้เรียนรู้ว่าความฝันมีหลายแบบ เช่นฝันแบบธาตุกำเริบ เกิดจากธาตุในร่างกายแปรปรวน ไม่เกี่ยวกับการหยั่งรู้อนาคตฝันแบบจิตอาวรณ์ คือวิตกกังวลหรือห่วงใย ฟุ้งซ่าน ไม่เกี่ยวกับการหยั่งรู้อนาคตฝันบอกอนาคต (เทพสังหรณ์) เป็นบอกอนาคตอันใกล้หรืออีกหลายปีหลังจากนั้นฝันแบบบุพนิมิต เกิดจากจิตที่เก็บเอาอารมณ์ กรรมในชาติก่อนให้ผลในอนาคต ได้เรียนรู้ว่าการเขม่นตาขวาในตอนเช้าหรือบ่อยจะมีโชค ก็เพราะซีกซ้ายเป็นสมองส่วนเหตุผล การวิเคราะห์ ใช้ภาษา ทำงานโดดเด่นก็ทำให้ผลงานออกมาดีและมีโชค ส่วนช่วงกลางคืน การเขม่นตาขวาจะทำให้มีเคราะห์ แต่เขม่นตาซ้ายจะมีโชค ก็เพราะสมองซีกขวาที่คุมตาซ้ายทำงานเกี่ยวกับอารมณ์สุนทรีย์ เกิดความรู้สึกดีๆกับคนในครอบครัวและมีความสุขในที่สุด ทุกอย่างมีเหตุมีผลซ่อนอยู่ ได้เรียนรู้ว่าการทำบุญมีอยู่ 3 ระดับ คือการให้ทาน การถือศีล การภาวนา โดยการภาวนาให้ผลบุญสูงที่สุด เพราะเป็นการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เกิดสติ สมาธิ ปัญญา ถ้าปฏิบัติภาวนาจนสามารถตัดกิเลสตัณหาได้ เรื่องการถือศีลหรือให้ทานจะตามมาโดยอัตโนมัติ ขณะที่คนให้ทานหรือถือศีลยังมีกิเลสสูง มีการทำบุญหวังสิ่งตอบแทนซึ่งได้บุญน้อยมาก เพราะทำด้วยใจที่ไม่บริสุทธิ์ ได้เรียนรู้ว่ามนุษย์เรามีสิ่งแตกต่างไปจาก A.I นั่นคือความรู้สึกมนุษย์มีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา แค้นได้ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากจิต โดยมีเจตสิกรวมกลุ่มกันเป็นองค์ประกอบของดวงจิตขึ้นมารับอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเจตสิกเหล่านี้เกิดจากบุญหรือบาปที่ได้ทำมาเมื่อครั้งอดีตกาล นั่นคือคำอธิบายว่าเหตุใดคนเราจึงแตกต่างกันอย่างมากมาย ได้เรียนรู้ว่ากรรมคือความรู้สึก การชดใช้กรรมคือการรับความรู้สึก คนหนึ่งทำงานแบบถูกกดดันปานกลาง 5 ปี กับอีกคนหนึ่งทำงานแล้วโดนกดดันอย่างหนักสุดๆ 2 ปี ไข่ฟองหนึ่งปล่อยจากที่สูงตกแตกบนพื้นคอนกรีต กับไข่อีกฟองหนึ่งตกที่ความสูงเดียวกัน แต่ตกบนฟองน้ำ ไข่จึงไม่แตก ตัวอย่างข้างต้นคือการรับผลของกรรมที่เท่ากัน แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเต็มๆในคราวเดียว เราไม่สามารถหนีกรรมเก่าได้ แต่สามารถกระจายพลังกรรมให้เบาบางลงได้ เรียกว่าผ่อนหนักเป็นเบา ส่วนใครที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ขอให้คิดว่าเป็นการรับกรรมหนักครั้งเดียวไปเลย (ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ) ทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าบางอย่างก็เป็นเรื่องงมงาย บางอย่างก็เป็นเรื่องของอำนาจทางพุทธคุณ แต่หากเราทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน รักษาศีลอย่างตั้งมั่น รู้จักใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ศรัทธาต่อกฎแห่งกรรม ก็จะเป็นหลักประกันว่าชีวิตในภพนี้และภพหน้าจะมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้น พ้นทุกข์พ้นโศกให้ถึงระดับอริยบุคคล คือการพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง แม้คนรุ่นใหม่จะตั้งคำถามต่อศาสนาที่ยากแก่การพิสูจน์ชัด แต่ลึกๆในใจเราก็พอเข้าใจได้ว่า...หลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นบางครั้งก็ไม่อาจเห็นเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด เครดิตภาพภาพปก โดย Who is Danny จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย pikisuperstar จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย chandlervid85 จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ คนอ่านกรรม โดย หมอพีร์พุทธพจน์ กับความก้าวหน้าของชีวิตฤกษ์ความฝันวิธีการดูดวงเลข 7 ตัว 4 ฐานรีวิวหนังสือ กรรม-พันธุ์ โดยทันตแพทย์สม สุจีราเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !