ธรรมะก่อนนอน ธรรมะสอนใจ การใช้ชีวิต สั้นๆ กินใจผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ได้มาฟรีค่ะ จากศูนย์อาหารศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เนื้อหาข้างในผู้เขียนเห็นว่าสามารถที่จะนำมาใช้ในการใช้ชีวิตของเราแต่ละวันได้ จึงอยากมาสรุป สั้นๆ ไว้ในบทความนี้ให้ได้อ่านกันค่ะ"หนึ่งเดียว คือทุกสิ่ง" โดยพระอาจารย์ธัม์มทีโป และ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโป ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ บ้านวังเมืองธรรมทั้งหลายทั้งปวงรวมลงที่จิต ผู้มีปัญญาควรรักษาจิตที่เห็นได้ยากยิ่ง ละเอียดยิ่ง เพราะจิตที่คุ้มครองดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ จิตที่อยู่บนเส้นทางของอริยมรรคมีองค์ 8 โดยมีความเห็นถูกต้อง ความคิด คำพูด การกระทำ อาชีพ ความเพียร สติ สมาธิ จะดำเนินไปในหนทางที่ถูกต้องเมื่อเราหันมาดูจิต เห็นการเกิดดับไปเรื่อยๆ ไปในทุกขณะ ความคิด ความเครียด ความกังวลก็จะดับไป สมองก็จะปลอดโปร่ง จิตก็จะผ่องใส ปัญญาจะเกิดขึ้น พอเราดูจิตอยู่บนทางสายกลางไม่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องอย่างงั้นต้องอย่างงี้ เมื่อไม่ตั้งเงื่อนไขก็จะไม่เกิดการต่อต้าน ไม่กลัว จิตก็จะมีปัญญาเห็นตามความเป็นจริง เห็นการเกิดดับที่จิตภายใน เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดดับอยู่ในทุกขณะเมื่อเราเห็นความผิดของคนอื่น เราจะส่งจิตออกไปภายนอก แต่เมื่อเราเห็นความผิดของตนเองได้ เราจะส่งจิตกลับเข้ามาภายใน และดูว่าเมื่อมีความอึดอัดขัดเคือง เกลียดโกรธแล้วก็กลับมาหาว่า เราไปตั้งเงื่อนไขอะไรไว้ ก็จะเห็นเหตุที่ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น เวลามีอารมณ์โกรธ ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน ไม่ต้องกลัวมัน ไม่ต้องหลบ อย่าหลบ แต่ให้สังเกตต้นเรื่องว่า ข้างในตั้งเงื่อนไขอะไรอยู่ หลักการนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง เมื่อจิตไม่ตั้งเงื่อนไขข้างในจะสบายๆ เช่น คนที่รัก คนในบ้าน ทำไมไม่เข้าใจ ทำไมไม่พูดดีๆ แค่นี้ทำไมต้องมาเสียงดังด้วย เราตั้งเงื่อนไขว่า คนที่รักต้องพูดดีๆ ต่อกัน พอแค่พูดไม่ดีแค่เสียงดังเราต้านทันที เพราะอะไรเราตั้งเงื่อนไขว่าคนรักต้องพูดดีๆ คราวนี้ถ้าเกิดไม่ตั้งเงื่อนไขล่ะ พอคนที่รักพูดเสียงดัง ก็ไม่เป็นไร เราจะฟังได้ง่ายขึ้นเพราะเราไม่มีเงื่อนไขการตั้งเงื่อนไข คือ การผูกเอาไว้ ยึดเอาไว้ ไม่ให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ตั้งใจไว้ มันเลยผูกจิตให้หลุดพ้นไม่ได้ พอเราปลดเงื่อน จิตของเราก็กลับมาเป็นอิสระดังเดิม สิ่งที่ต้องทำคือปลดเงื่อนไขที่เราตั้งไว้เอง ให้สังเกตทุกเรื่อง พอเราปลดเงื่อนไข ก็กลับมาเป็นตัวของตัวเอง ลึกๆ ทุกคนต้องการเป็นอิสระ พอเราฝึกจิตเดินอยู่บนสายกลาง เราปลดเงื่อนไขทั้งหมดดวงจิตก็เป็นอิสระ แล้วจิตก็หลุดพ้นด้วยตัวของมันเองนี่แหละคืออิสระที่แท้จริง เป็นอิสระที่มีความกระจ่างสว่างไสว อันเกิดจากปัญญาเห็นสัจธรรมตามจริง จะทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทจงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เมื่อพอใจในสิ่งที่มีอยู่ จึงมีความสุขตลอดเวลา เพราะสิ่งนั้นมีอยู่ เมื่อน้อมกลับมาที่จิต เห็นการเกิดดับ มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริง เห็นอยู่เสมอว่า สิ่งที่มีอยู่ มีอยู่อย่างสิ่งที่อิงอาศัยซึ่งกันและกัน เปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัยตลอดเวลา ไม่ได้มีอยู่อย่างสิ่งที่เป็นตัวเราหรือของเราที่จะบังคับให้ได้ดั่งใจการดูจิตทำให้เราได้พบที่พึ่งภายในตนเอง จิตที่ฝึกดีแล้ว ทำในใจไว้ดีแล้ว กายก็สงบ เมื่อกายสงบ ย่อมพบความสุข เมื่อพบความสุข จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ปัญญาย่อมเกิด ย่อมเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน ไม่ควรยึดมั่น เพราะความยึดมั่นสิ่งใดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ก็ย่อมเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น เมื่อไม่ได้ยึดมั่น จิตย่อมหลุดพ้นจากวังวนแห่งทุกข์และพบสุขที่แท้จริง บุคคลที่เป็นคนเก่ง ดี มีความสุขตามแนวทางสายกลางย่อมพบความสุขที่แท้จริงและพึ่งตนเองได้ตลอดไปผู้เขียนชอบเนื้อหาในหนังสือธรรมะที่สรุปไว้ข้างต้นค่ะ และเห็นด้วยที่ว่า จิตเราคือทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี จิตใจเราตีความทั้งหมด ถ้าเรามีสติ เห็นตามความเป็นจริงเราก็จะไม่ทุกข์ เพราะด้วยความที่ว่าเราไปตั้งเงื่อนไขว่าสิ่งนั้นต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอไม่ได้ดั่งที่คิดก็โกรธ ก็ทุกข์ตามมา ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขอยู่ที่จิตเราค่ะเครดิตภาพปกจากผู้เขียน ออกแบบใน canvaเครดิตภาพประกอบเนื้อหาจากผู้เขียนบทความอื่นที่น่าสนใจ⏩ ไหว้ขอพรพระศรีศากยะทศพลญาณ พุทธมณฑลสาย 2⏩ 8 วิธีปรับอารมณ์ ลดความโกรธ ลดความเครียด⏩ ทำสังฆทานวัดท่าพูด สามพราน นครปฐม 7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์