เห้อตกปลายก้อย ย้อยปลายตีนปลายมือ ผีเต้อเล่อเหลียวมากะเห้อมันตาแตก ไปไป ครบหนึ่งเดือนจากลูกผี กลับกลายเป็นลูกคน สิ่งไม่ดีกวาดออกไป การเกิดเป็นสิ่งที่ทุกคนแสดงความยินดีด้วย การเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องเล่าไว้เรื่องหนึ่งในเรื่องการกำเนิดของมนุษย์ หลากหลายเรื่องเล่าถึงการกำเนิดของมนุษย์ ไว้ว่า ในหนึ่งร้อยปี เต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเล ซึ่งใช้เวลาหลายวันกว่าเต่าตัวนั้นจะขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพื่อหายใจ แล้วก็กลับลงไปใต้ท้องทะเล ซึ่งการขึ้นมาหนึ่งครั้งจะมีห่วงโยนลงมาซึ่งถ้าห่วงนั้นเข้าหัวของเต่าพอดี กับที่ขึ้นมาหายใจ ถือเป็นการเกิดของมนุษย์หนึ่งคน เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ทำไมถึงบอกว่าการเกิดนั้นแสนยาก เพราะท้องทะเลกว้างใหญ่สุดสายตา หลายสิบปีหรือหลายร้อยปี ที่จะทำให้ห่วงคล้องคอเต่าพอดี นั่นหมายถึงได้กำเนิดมนุษย์หนึ่งคน การเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เมื่อเกิดมาแล้วจึงพบแต่ความยินดี และคำอวยพรจากเพื่อนมนุษย์ ญาติสนิทมิตรร่วมโลก ความหวังของแม่หนึ่งคนมีไม่มาก คือเพียงคลอดออกมาแล้วยังมีลมหายใจ อย่างต่อมาคืออวัยวะครบทั้ง 32 เพราะตั้งแต่จุติในครรภ์ จนครบ 9 เดือน แม้บางคนอยู่นานกว่านั้น ต่างเฝ้ารอการกำเนิดของลูกของตน ทานอาหารอะไรเน้นประโยชน์ต่อลูกของตนก่อน จริงๆแล้วเราควรทานทุกอย่างที่มีประโยชน์และชอบให้หมด เพราะหลังจากที่ถึงกำหนดคลอด หลากหลรยอย่างจะเป็นข้อห้ามของแม่ลูกอ่อนไปในทันที อย่างเช่น ข้าวดำ เนื้อควายดำ งาดำ และความไม่เชื่อลองทานเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียมาให้เห็นในข่าวเป็นประจำ เมื่อกำเนิดเกิดมา ยังต้องเฝ้าดูแลอย่างไม่ห่างไปไหนไกล เพราะมีคำพูดที่ว่า 5 วันลูกผี 10 วันลูกคน ซึ่งหมายถึงเด็กทารกที่เกิดใหม่แม่จะต้องดูแลอย่างไม่คาดสายตา เฝ้าอย่างใกล้ชิด อดทนกินร้อน นอนร้อนจิบสมุนไพรเพื่อให้ได้น้ำนมเพื่อลูกรัก แม่ลูกอ่อนจึงต้องอยู่ไฟจนครบหนึ่งเดือนตามหลักความเชื่อของคนโบราณ ซึ่งหลังจากนั้นก็จะทำพิธีออกคำ ความเชื่อเรื่อง “การกวาดขี้สะล้า” หมายถึงการกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวของเด็ก ทำให้เด็กทารกนั้นเลี้ยงง่าย ไม่งอแงทำให้อยู่ดีไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำตอนที่เด็กอายุได้ประมาณหนึ่งเดือนขึ้นไป จะเริ่มนับตั้งแต่แม่อยู่ไฟ แต่ก่อนจะอยู่กินร้อน นอนไฟประมาณ หนึ่งเดือน แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้ วัฒนธรรมการอยู่ไฟของแม่ลูกอ่อนเปลี่ยนไป เริ่มมีการทำคลอดแบบผ่าตัด สมัยก่อนนั้นมีเพียงแค่การคลอดธรรมชาติ การอยู่ไฟจะเริ่มประมาณ 7 วัน หลังจากคลอด อดีตการคลอดลูกนั้นใช้หมอตำแย บางคนจะไม่มีการเย็บ จะใช้ระยะเวลาและความร้อนในการสมานแผล แต่หลังจากนั้นก็จะต้องมีการแก้ไหมเย็บ หรือรอให้แผลค่อยๆปิดไปเอง ถ้าเป็นในสมัยนี้ จะต้องรอให้ไหมละลายไปก่อน จึงค่อยอยู่ไฟ จะแตกต่างจากสมัยก่อน ปัจจุบันนี้ใช้การอบสมุนไพร เรียกว่าร้อนสุดๆทุกส่วน สมุนไพรที่นำมามีมากกว่า 180 อย่าง มีทั้งบำรุงน้ำนม ขับน้ำคาวปลา และอีกหลายๆอย่าง การคลอดแบบ ผ่าตัดออกนั้นจะค่อนข้างใช้เวลาในการพักฟื้นนานหน่อย ประมาณหนึ่งเดือน เพราะกว่าแผลผ่าตัดจะสมานกัน ติดแน่นจะใช้เวลานาน การเคลื่อนไหวอะไรจะลำบาก ไม่ว่าการเดินการให้นมลูกจะมีความทรมาน บางคนที่คลอดโดยวิธีผ่านั้นจะต้องนอนยกของหนักทำงานหนักไม่ได้เป็นเดือน และหลังจากนั้นเวลาทำงานหนักก็จะลำบาก บางคนจึงมีระยะเวลาในการ ออกจากการอยู่ไฟต่างกัน ตามวิถีในอดีตนั้นการกวาดขี้ สะล้าเด็กอ่อนนั้นจะเริ่มทำตั้งเช้ามืด แต่ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นตามความสะดวกของแม่และลูกหรือครอบครัว ทำเวลาไหนได้ทั้งหมด แต่จะนิยมทำกันในช่วงเช้า แปดนาฬิกาถึงเก้านาฬิกา หรือเรียกว่าเวลาฮ่างจังหัน หมายถึงเวลาพระฉันเช้าเสร็จและชาวบ้านพากันขึ้นมาจากวัด ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านเวลานี้จะถือเป็นเวลาที่ดี การทำพิธีจะเริ่มขึ้น เมื่อยายหรือเรียกว่าผู้เฒ่าผู้แก่ จะมาที่บ้าน การกวาดขี้สะล้านั้นแม่จะต้องเป็นคนที่อุ้มลูกเท่านั้น คนอื่นอุ้มไม่ได้เมื่อทำพิธีกวาดแล้วสามารถอุ้มได้ ซึ่งในการกวาดนั้นแม่จะต้องยืนอุ้มลูกแล้วหันไปทางทิศเหนือ อุ้มโดยในใช้แขนทั้งสองข้างประคองหลัง ในท่านอน เพราะยายที่กวาดจะเริ่มกวาดตั้งแต่หัวจนถึงเท้า โดยใช้ไก่ต้มทั้งตัว เรียกว่าไก่กวาดขี้สะล้า ไก่ตัวนี้เมื่อทำพิธีเรียบร้อยแล้ว จะไม่นำมาฉีกเพื่อทำ ซว้าไก่ (ภาษาภูไท) และจะต้องเป็นไก่คนละตัวที่ทำการจ้ำขวัญ พิธีเริ่มในการกวาดขี้สะล้า ไก่เตรียมไว้คือไก่ต้มหนึ่งตัว แต่จัดการนำไส้และเครื่องในออกให้เรียบร้อย นำมาให้ยายหรือคนที่จะกวาดนั้นจับ ผู้เป็นแม่ยืนหันหน้าไปทางทิศเหนือแล้วยืนนิ่ง เริ่มกวาดโดยการจับคอและขาของไก่ต้ม ใช้หัวของไก่กวาดและจิกสิ่งที่ไม่ดีออก จะมีคำกล่าวที่เป็นภาษาภูไทว่า “กวาดไป ให้ตกปลายก้อย ย้อยปลายตีนปลายมือ สิ่งที่ไม่ดีให้ตกออกไป ให้เหลือแต่สิ่งที่ดี ผีตนไหนมองมาก็ขอให้ตามันแตก” จะกวาดประมาณสามรอบ แล้วจากนั้นก็จะนำไก่ที่กวาดขี้สะล้านั้นไปเก็บไว้ ไม่ให้นำมาให้คนอื่นทานด้วย ให้แม่ทานได้คนเดียว ต่อจากนั้นญาติพี่น้องรวมถึงยายที่กวาดขี้สะล้าก็จะเดินขึ้นบันไดบ้าน เพื่อที่จะทำพิธีจ้ำต่อไป ซึ่งในพาขวัญก็จะมี ไก่ต้ม ข้าวต้ม กล้วย และข้าวเหนียวในการจ้ำ พิธีนี้จะเป็นพิธีที่ญาติผู้ใหญ่ ทั้งทางฝั่งแม่ และฝั่งพ่อจะมารวมกันเพื่อที่จะผูกแขนให้แม่และลูกมีขวัญและกำลังใจ การเรียกขวัญเป็นสิ่งสำคัญ การคลอดลูกในหนึ่งคนนั้นแม่ ต่างผ่านความเป็นความตายมา การสร้างขวัญและกำลังใจจึงเป็นสิ่งที่ดี การกวาดขี้สะล้า จะทำเพราะเด็กนั้นเวลาที่เกิดใหม่ จะยังมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ใกล้ การทำพิธีเช่นนี้เป็นการปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้หายไปจากตัว ทำให้แม่และครอบครัวอุ่นใจ ถ้าหากไม่ทำอาจจะมีความกังวลใจ ขวัญไม่ค่อยอยู่กับตัวเอง สิ่งใดที่ทำแล้วมีความสุขให้ตั้งใจทำ แต่ถ้าทำแล้วมึทุกข์ก็ควรหลีกเลี่ยง เมื่อขึ้นมาถึง ก็จะพากันนั่งพัก เพื่อเตรียมและรอพิธีผูกข้อต่อแขน ซึ่งจะผูกให้ทั้งพ่อแม่และลูก ส่วนคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่ ก็จะมาตุ้มมาโฮมให้ดูอบอุ่น และร่วมพิธีซึ่งก่อนที่จะจัดงาน แม่ของเด็กและพ่อจะต้องเดินทางไปบอก ยาย ตา ปู่ ย่า มาร่วมพิธีซึ่งคนที่เดินทางมา ก็จะนำกระติบข้าวและเงินที่จะนำมาใส่มือ ให้แม่แข็งแรงมีความสุข ลูกเลี้ยงง่าย เราจะเรียกสิ่งที่นั่งล้อมวงกันว่า พาขวัญ การแต่งพาขวัญจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งในพิธีนี้ จะมีการจ้ำไก่ การจ้ำขวัญแต่ละอย่างจะไม่เหมือนกัน ถ้ากับเด็กทารกแม่ลูกอ่อนจะอีกแบบ แต่ถ้าเป็นการทำงาน ก็จะมีวิธีการที่แตกต่างกัน เมื่อทุกคนนั่งพร้อมก็จะมาล้อมวงกันบนบ้าน ยกยอแขนของแม่ก่อนเป็นอันดับแรก จะเริ่มจากผู้ที่กวาดขี้สะล้าให้เป็นคนผูกแขนก่อน ในการผูกแขนครั้งแรกจะยังไม่ใส่ปัจจัย แต่การผูกรอบสอง จะเริ่มมีการใส่ปัจจัยซึ่งเรียกกันว่า การทำให้แข็งขวัญ และอบอุ่น เริ่มการผูกแขน ตอนนี้ทั้งพ่อและลูกจะต้องอยู่กับแม่ แต่ถ้าหากนอนหลับก็จะอุ้มมาร่วมพาขวัญ แต่ถ้าหากว่าร้องไห้ไม่หยุดก็จะให้คนอื่นอุ้มไปได้ ซึ่งส่วนมากเด็กจะไม่ค่อยร้องไห้ เพราะอยู่กับแม่ และยิ่งเป็นเด็กที่อายุประมาณ หนึ่งหรือสองเดือน จะยังไม่ค่อยซน การจ้ำส่วนมากนั้นจะให้ผู้ที่มีอายุเยอะกว่า จ้ำต่อกันไปเรื่อยๆ มีการผูกแขนกันตลอดคนละเส้น การผูกข้อต่อแขน ในการพูดก็ถูกแล้วว่าเป็นการผูกข้อต่อแขน ซึ่งหมายถึงในเวลาที่ผูกแขนนั้นคนที่อยู่รอบข้างหรือด้านนอกจะต้องยกมือให้กับเพื่อน จับต่อกันไปเรื่อยๆ จนถึงด้านนอกบางคนอาจจะต่อที่ข้อศอกบ้าง ต่อตรงมือ ตรงสะโพกยกยอช่วยกัน นั่งฟังจนกว่าการผูกแขนจะเสร็จจึงทำการปล่อยซึ่งก็จะยกยอจนกว่าจะผูกครบ ส่วนมากนั้นคนที่มีอายุเยอะหน่อยจะมีคำพูดในการผูกแขนเยอะ ถ้าเป็นสมัยใหม่อายุไม่เยอะจะไม่ค่อยผูกเพราะจะไม่มีคำพูดเหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ การผูกข้อต่อแขน การสร้างขวัญกำลังใจของคนเฒ่าคนแก่นั้น จะไม่เพียงแต่สร้างขวัญให้กับแม่และลูก จะต้องสร้างให้กันทั้งครอบครัว นอกจากนั้นจะต้องผูกให้กับพ่อ ให้คนในครอบครัวให้หมดเพื่อไม่ให้ ขวัญหาย ไปให้เข้มแข็งเพราะจะต้องสู้ไปด้วยกันทั้งหมด บางครั้งถ้าหากว่ามีหลานกี่คนก็จะต้องผูกให้ทั้งหมด เพื่อให้เขามีกำลังใจและมีความสุขเมื่อมีญาติพี่น้องมาที่บ้าน เมื่อเสร็จพิธีนี้ จะเป็นการทานอาหารเช้า ใช้เวลาไม่นานประมาณ ครึ่งชั่วโมง อาหารก็จะถูกยกมาเพื่อให้ทุกคนได้ทานข้าวเช้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นการเริ่มพิธีส่วนมากจะไม่ค่อยเกินเวลา แปดนาฬิกา อาจจะเกินได้ ซึ่งโดยส่วนมากคนจะพากันมาแต่เช้า สิ่งที่ต้องเตรียมมากกว่าการทำต้มไก่ นั่นคืออาหารการกินในตอนเช้า ซึ่งจะมีหลากหลายแบบที่ทานร่วมกัน เช่นไก่ที่นำมาจ้ำ จ้ำเสร็จก็จะนำไก่ไปฉีกเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นก็จะนำไปปรุงรสชาติซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการ ต้มไก่ใส่ใบมะขาม ใส่เครื่องเทศที่ทำให้ไก่ไม่คาว เช่นตะไคร้ เมื่อฉีกไก่เรียบร้อยก็จะปรุงรสชาติด้วยพริกกับน้ำปลาขาดไม่ได้คือพริกป่นและอาหารอย่างอื่นอีกเพื่อทานข้าวเช้าร่วมกัน ความเชื่อเรื่องการคลอดลูกเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ แต่ละพื้นที่มีพิธีกรรมที่ไม่เหมือนกันแตกต่างกันไปตามความเชื่อ ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปสิ่งเหล่านี้บางครั้งถูกละเลยไป ลืมไป แต่ถ้าหากแม่ทานผิดแล้วอาจจะส่งผลทำให้ผู้เป็นแม่ถึงแก่ชีวิตได้ ประสบการณ์จะเป็นคนสอนเอง และเมื่อแม่ผิดอาจจะทำให้ลูกได้รับสิ่งนั้นได้เหมือนกันเพราะแม่ให้นมลูก และทารกที่คลอดใหม่นั้นจะทานได้อย่างเดียวคือนมของแม่ นั่นคือสิ่งที่แม่ทุกคนต้องตระหนักทุกอย่างที่รับประทานเข้าไป ในสมัยโบราณอาจจะเพราะการแพทย์ยังไม่ค่อยทันสมัย การคลอดยังใช้หมอตำแย อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลคลอดเสร็จก็จะต้องอยู่ไฟเพื่อรักษาแผล การดูแลตัวเองในช่วงสามเดือนแรกไปจนถึงหกเดือนจึงต้องเชื่อคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ซึ่งการทำพิธีกรรมกวาดขี้สะล้านี้ หลังจากทำจะทำให้เด็กทารกนั้นเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยจะเจ็บป่วยหรือที่เรียกว่าอยู่ดีมีความสุขนั่นเอง ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว)เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !