ในชีวิตที่เราใช้หมดไปในหนึ่งวัน ขอให้มันคุ้มค่าและเหมาะสม เพราะชีวิตต้องพบเจอหลากหลายคน ให้มั่งคงสงเคราะห์กันและกัน หากวันหนึ่งวันใดใจต้องพัก จงใช้หลักสมานัตตา การทำตัวให้เข้ากันได้เสมอต้นเสมอปลาย มนุษย์เราหนึ่งครั้งกับการเกิดเป็นสิ่งที่ดี มีอีกหลากหลายชีวิตที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้ใช้ชีวิต บางคนอยู่มาทั้งชีวิตกับไม่เคยสักครั้งที่จะได้มีความสุขกับการใช้ชีวิต เพราะต้องอยู่กับความกลัวและอยู่กับการต้องยอมรับและเดินตามทางที่คนอื่นสั่งให้เดิน จนทำให้ชีวิตไม่ได้พบกับความสุข เพราะแต่ละวันต้องตั้งใจทำให้คนนั้นคนนี้พอใจ บ่อยครั้งที่คนเรานั้นต้องการให้ได้ดั่งใจของตนเอง แต่เมื่อไม่ได้ตามที่ตนเองต้องการ จะเกิดความไม่พอใจ พยายามดิ้นรนเพื่อให้ตนเองได้อย่างนั้นอย่างนี้ ที่พึ่งสุดท้ายของชีวิตทุกคนคือต้องเดินเข้าวัด หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างของแต่ละชีวิตเราก็จะต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ไม่สามารถนำอะไรไปด้วยทั้งนั้น แล้วทำไมตอนที่เราอยู่เราถึงไม่เลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดี รักในคนที่หวังดีและเป็นกัลยาณมิตรต่อเรา หลายครั้งที่เราพยายามเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล หลายครั้งที่เราคิดเองตอบเองว่าคนนั้นคิดอย่างนั้นทำอย่างนี้ไม่มีที่จบสิ้น สิ่งอื่นแค่ภายนอกแต่สิ่งนี้กลับอยู่ภายในจิตใจของทุกคน เราลองเปลี่ยนความคิดไหม คือโดยใช้หลักธรรมที่เราเคยเรียนและรู้มาบ้าง แต่ไม่เคยได้นำมาใช้มนการดำเนินชีวิต ธรรมที่เป็นคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะ คำสอน นั้นเป็นประจักษ์เพราะ มีคนที่กระทำและปฏิบัติมาจนเกิดผลแล้วถึงมีการบัญญัติไว้ และยังคงอยู่มาตราบนานแสนนาน สองพันกว่าปี หลักธรรมในศาสนาพุทธมีจำนวนมาก แต่หลักธรรมหนึ่งที่ผู้เขียนนำมาใช้ แล้วทำให้ชีวิตมีความสุขเพิ่มมากขึ้น เราสามารถเพิ่มแรงบวกจากการนำหลักธรรมมาใช้ “ ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ จงยืนมองดูชีวิต เหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่ง” ประโยคนี้ เมื่อไหร่ที่ได้อ่านซ้ำได้ทบทวน เป็นข้อความที่เราจะต้องเตรียมใจไว้สำหรับความหวังในทุกอย่าง มันไม่มีอะไรที่จะแปรเปลี่ยนตามความคิดของคนเราได้ทั้งหมด หลายครั้งเราจะต้องพบกับความล้มเหลวแต่เมื่อล้มแล้วเราจะต้องพยายามลุกเอง เพราะยากนักที่จะมีมือที่คอยยื่นมาช่วยเหลือเรา เพราะคนเราความคิดไม่เหมือนกัน ต่างคนก็อยากให้ตนเองดี กลัวคนรอบข้าง ถ้าเราทำได้ เราจะต้องยืนมองดูชีวิตของเรา เช่นเดียวกับการที่เราไปเที่ยวเล่นน้ำทะเล เรายืนมองทะเลเราเห็นในทุกอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้า ซ้าย ขวา รวมถึงด้านหลัง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเดินลงไปในน้ำ รอบตัวเต็มไปด้วยน้ำ เราจะมองเห็นแค่น้ำและต้องพยายามว่ายน้ำเพื่อทำให้ตนเองมีชีวิตรอด วันนี้จะมาแนะนำให้รู้จักกับหลักธรรมหนึ่งที่คัดเลือกแล้วเหมาะสมกับตนเอง และเมื่อทดลองทำในระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี ทำให้เราทำงานอย่างมีความสุข มีความสุขในชีวิตมากขึ้น ในตอนเด็กๆ นั้นเรามีความคิดที่ไม่ค่อยดีกับตนเอง อยากทำเหมือนกับคนอื่นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเล่นขายของ แต่ย้อนกลับมาที่เราจะต้องทำงานบ้าน ทุกอย่างซักผ้าให้กับทุกคน ไม่ต้องไปเล่นกับเพื่อนทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มุมมองเปลี่ยนแปลงคนได้ อยู่ที่การคิดในครั้งแรกที่ตัดสินใจเดินออกจากกรอบเดิมๆเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ แปลกตา ซึ่งความคิดในตอนนั้นไม่เคยกลัวในสิ่งที่เราจะเจอ แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการนั่นคือการพรากจากกัน พรากจากคนที่เราเคยเห็นหน้าทุกคน คุยกันตลอด แล้ววันหนึ่งเขาต้องหายไปจากชีวิตเรา เราทำใจกับการจากไม่ได้ เมื่อเราออกจากจัดเดิมสิ่งแรกที่เราต้องได้เรียนรู้ คือคน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมเดินทาง คนเรานั้นถ้าหากว่าไม่มีบุญที่ทำร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น บุญก็จะเป็นเพียงคำที่ไม่มีใครสนใจ พลังของการคิดดี พลังบวก จะส่งผลให้เราเองจะได้รับจากคนดี โลกจะเหวี่ยงคนที่ดี ที่เหมือนกันมาพบกัน และสร้างหลากหลายอย่างร่วมกัน โดยที่อยู่คนละฟากฟ้า เราอาจจะเคยมองว่าคนนี้ทำไมหน้านาคุ้นๆ เหมือนกันกับที่เราเจอ แต่บางครั้งเราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย เข้าใจความสุขในการนับพลังงานดี การเดินทางเพื่อตามหาตนเอง ในช่วงเวลาที่เราว่าง การนอนจะบอกตัวเองเสมอว่า “เวลานอนมีมากในโลงศพ” เป็นการบอกว่า เราจะต้องขยันไม่มัวแต่นอนหลับ การเดินทางของชีวิตพานพบกับหลากหลายอย่าง การพูดคุยทักทายกับผู้คนถ้าเรานำหลักธรรมาใช้ หลักธรรมที่ใช้ในการดำเนินชีวิตในครั้งนี้คือ หลักธรรมสังคหวัตถุ 4 ตามชื่อมีด้วยกันทั้งหมดสี่อย่าง หลักธรรมที่เป็นที่ตั้งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน วิธีในการครองใจคน หลักยึดเหนี่ยวใจกันไว้ และจะทำให้อยู่ด้วยกันด้วยความรัก การทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม อย่างแรกคือ ทาน การทำทาน การให้การเสียสละ เช่นถ้าเรามีโอกาสได้เป็นผู้ให้ก็จงให้ด้วยจิตที่เมตตา ให้การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน เสียสละเวลาของเราเพื่อทำงานให้ประโยชน์กับสังคม ปิยวาจา สิ่งนี้สำคัญเพราะการพูดจาเป็นเรื่องจำเป็นคนเราคุยกันโดยใช้การพูด ติดต่อสื่อสาร ถ้าสารที่พูดไปนั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ได้รับการสานต่อ คำพูดนั้นก็ไม่มีประโยชน์เสียเวลา สำเนียงส่อภาษากริยาส่อสกุล การพูดมีหลายประเภทพูดเพื่อให้คนฆ่าให้เกลียดชังกันมีทั่วไป ถ้าเราจะพูดให้รักกันสิ่งนั้นก็ไม่มีปัญหา การพูดน้ำเสียงที่พูด สิ่งที่พูดหรือขณะที่พูดเราจะต้องแสดงความจริงใจด้วย อย่าลืมความไพเราะอ่อนหวาน ปล่อยให้เหตุการณ์เล่าเรื่อง ในบางเรื่องเราไม่ต้องการคำอธิบาย ไม่ต้องการการพูดจา เราใช้แค่สายตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะให้คำตอบเราเอง ด้วยเหตุนี้ธรรมชาติจึงสร้างมาแค่สิ่งเดียวนั่นคือปากที่ใช้ในการพูด นั่นหมายถึงเราไม่ควรพูดมาก มองให้มาก ฟังให้มาก เพราะบางครั้งคำพูดได้ไปทำร้ายหลรยอย่าง ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายเพื่อนร่วมงาน ทำร้ายคนรอบข้าง ให้นิ่งเหมือนกันกับสิ่งก่อสร้าง เจดีย์ที่เรามองนั้นไม่ได้พูดจาหรือสนทนากับเรา แต่เราสามารถที่จะรู้ได้ว่าเจดีย์นี้สำคัญอย่างไร อัตถจริยา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การที่เราจะขึ้นสี่สูงได้นั้น เราจะขึ้นคนเดียวไม่ได้ เราจะต้องมีคนรอบข้างคอยช่วยเหลือผลักดันกัน เหมือนการทำงานจะต้องมีการช่วยเหลือกัน ความถนัดของคนเราแตกต่างกัน จะต้องให้ทุกคนประสานแรงช่วยกัน จนเกิดความสำเร็จ สุดท้ายคือ สมานัตตา ความเสมอต้นเสมอปลาย คนเราจะต้องมีความเสมอต้นเสมอปลายเคยทำดีอย่างไร จะต้องมั่นคง การแบ่งปันเป็นสิ่งที่คนทุกคนควรมี แบ่งปันรอยยิ้มแบ่งปันในสิ่งที่เรามี ทำไปแล้วเราเองไม่เดือดร้อนเป็นพอ เราเคยทำอย่างไร เมื่อถูกสังคมหล่อหลอมเราอย่าไปหลงเชื่อหรือทำตามเขา จงมุ่งมั่นในตนเองจึงจะมีความสุข เพราะไม่มีใครที่ทำในเรื่องที่ไม่ดี แล้วมีความสุข แม้เราจะเห็นชีวิตเขามีความสุข เขาอาจจะต้องทนทุกข์ใจอย่างสาหัสก็ได้ หากเราจิตวุ่นวาย เป็นกังวล จงนั่งลงและอยู่กับตนเองอย่างเงียบๆ หลับตาลงนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา ค่อยคิดทีละน้อยค่อยปล่อยวาง เราจะเห็นตัวเองเห็นหนทางที่หลากหลาย บางคนบอกตัวเองว่าทำไม่ได้ ทำไม่ทัน ทั้งที่เรายังไม่ได้ลองทำ ลองมองให้ลึก ไม่มีสิ่งไหนหรือปัญหาไหนที่เกิดขึ้นมาแล้วจะไม่มีทางแก้ ขอเพียงเราสู้และให้กำลังใจตนเอง รักตนเองให้มากอย่าไปหวังให้คนอื่นมารักมาเห็นใจเรา บอกตนเองเสมอว่าเราผ่านมาได้หลายครั้งแล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมเราจะผ่านมันไปไม่ได้ ในการดำเนินชีวิตของเรา อย่าไปจริงจังกับอะไรที่มากเกินไป ให้เราพอดีดีพอและเป็นกลาง บางครั้งอะไรที่มากเกินไปทำให้คนเรามีทุกข์ อะไรที่น้อยเกินไปทำให้เป็นทุกข์ เราต้องการให้คนอื่นทำแบบไหนกับเรา คนอื่นก็ย่อมต้องการอย่างเรา เพราะความคิดของคนแต่ละคนแตกต่างกันก็จริง แต่ความรัก ความห่วงใยในแต่ละคนสามารถที่จะมองเห็นได้เช่นกัน อดีตทำให้เราได้เดินตามทำตาม การตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัดเราอาจจะเคยได้ยินติดหู ยังใช้ได้มาถึงปัจจุบัน การเชื่อฟังคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนแน่นอนว่าย่อมดีเสมอ แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เราควรเชื่อและมองในเรื่องของหลักความเป็นจริงด้วย ฟังแล้วคิดอย่าเชื่อในสิ่งที่เรายังไม่ได้ไตร่ตรอง ชีวิตที่มีความหมายและอยู่อย่างมีความสุข คือชีวิตที่มีหลักที่ดีในการดำเนินชีวิต เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะอยู่คนเดียว มนุษย์คือสัตว์สังคม ต้องการพวกพ้องจะอยู่คนเดียวได้ในบางเวลา เพราะต้องอาศัยซึ่งกันและกันมันถึงจะอยู่ได้ แล้วท้ายที่สุดก็เหมือนกันทุกคน เกิดคนเดียวสุดท้ายเราก็ต้องจากไปเพียงลำพัง ไม่มีอะไรแน่นอน คืนนี้เรานอนวันพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่ควรวางอะไรที่ควรให้อภัยกันจงรีบทำ ก่อนที่เราจะทำและสำนึกได้ในวันที่เขาไม่อยู่แล้ว สามารถรับชม สามเณรปลูกปัญญา ปี9 ได้ที่ทรูไอดี ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นของผู้เขียน (อุ้งเท้าแมว)เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !