สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน วันที่เขียนบทความเรื่องนี้ เป็นวันซึ่งอยู่ในช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผู้เขียนยังอยู่ในสถานการณ์ที่เผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สู่งขึ้น ทั้งจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเล่าเรียนลูก ผู้คนต่างต้องตรากตรำทำงานและต้องอดทนทุกวิถีทางเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงตัวเองและจุนเจือครอบครัว นอกจากนี้ยังต้องระแวดระวังกับสายเรียกเข้า ลิ้งก์ และข้อความต่าง ๆ นานาของเหล่ามิจฉาชีพที่ก็หากินกันตัวเป็นเกลียวด้วยการหาวิธีการใหม่ ๆ และแยบคายยิ่งขึ้นเพื่อหาทางดูดเงินจากเรา ๆ ท่าน ๆ เรียกว่าเมื่ออยู่ในสภาพต้องสู้ศึกทุกด้านแบบนี้ ก็มีโอกาสสูงมากที่เจ้าความเครียดจะเข้ามาโจมตีเรา ผู้เขียนจึงคิดว่าน่าจะเขียนบทความที่เป็นพลังบวก นำไปสู่เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อให้เรามีภูมิคุ้มในหัวใจเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มพลังทางใจให้สามารถยืนหยัด ต่อสู้ชีวิตกันต่อไปได้ กันดีกว่า นั่นก็คือเรื่องเกี่ยวกับการ"สวดมนต์" ค่ะ สำหรับใครหลาย ๆ คน คงมีเหตุผลในการสวดมนต์ที่แตกต่างกันไป บางคนก็สวดเพราะเชื่อว่าจะทำให้มีโชคมีลาภ บางคนก็ต้องการสะเดาะเคราะห์ บางคนต้องการแผ่ส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับและเจ้ากรรมนายเวร หรือบางคนอาจสวดเพราะต้องการเข้าถึงหลักคำสอนของศาสดาและพระบรมศาสดา สำหรับเหตุผลของผู้เขียนนั้นต้องขอสารภาพว่าเริ่มสวดมนต์จริงจังครั้งแรกเพราะเจอเรื่องทุกข์ใจ ทุกข์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการระบายไม่ว่าจะพูดคุยหรือรับคำแนะนำจากใครได้ เป็นทุกข์ที่นับได้ว่าท่วมใจก็ว่าได้ ทุกข์จนนอนไม่หลับจนทำให้เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เดชะบุญบังเอิญมีคนให้หนังสือสวดมนต์มาเล่มหนึ่ง ผู้เขียนเลยเปิดอ่านไปเรื่อยเปื่อยเป็นการฆ่าเวลาขณะนั่งรถตู้ไปทำงาน ราวกับว่าโชคชะตายังไม่ใจร้ายจนเกินไป เมื่อผู้เขียนบังเอิญอ่านคำนำจากหนังสือสวดมนต์เล่มนั้น เหมือนชีวิตที่มัว ๆ มองไม่เห็นทางกลับมีแสงสว่างส่องนำทางทำให้ความมัวนั้นหายไป ทั้งคำสอนที่แทรกในหนังสือก็เข้ากับสถานการณ์ของผู้เขียน จากนั้นเป็นต้นมาผู้เขียนก็นำหนังสือสวดมนต์เล่มนั้นใส่ในเป้ที่ใช้สะพายโน๊ตบุ๊คไว้ตลอด ทุกครั้งที่มีโอกาส เช่น นั่งในรถตู้โดยสาร นั่งบนรถไฟฟ้า ผู้เขียนก็จะควักหนัวสือสวดมนต์ขึ้นมาอ่าน ทั้ง ๆ ที่เเรื่องราวและเนื้อหาที่อ่านก็อ่านแล้วแต่ก็ยังคงอ่านซ้ำไปซ้ำมา ช่วงไหนที่รู้ว่าจะต้องนั่งอยู่กับที่นาน ๆ เช่นนั่งรอรถตู้โดยสาร ก็จะสวดมนต์ บทที่สวดประจำคือ บทสวดนอบน้อมพระพุทธเจ้า (นะโม 3 จบ) บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย(อิติปิโส) จำนวนครั้งเท่าอายุของผู้เขียนแล้วบวกหนึ่ง พระชัยมงคลคาถา พระคาถาชินบัญชร มีหลายคนที่บอกว่า พวกเขาสามารถสวดมนต์ได้หลายบทโดยไม่ใช้หนังสือ ผู้เขียนเคยพยายามก็พบว่าทำได้บ้าง แต่ไม่มาก ก็เลยกางหนังสือสวดทุกครั้ง ผลที่ได้รับจากการสวดมนต์คือ ผู้เขียนรู้สึกว่า - ใจนิ่งขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง คงเพราะมีจิตจดจ่อกับตัวหนังสือกระมัง - รู้สึกทุกข์น้อยลง จากที่เคยรู้สึกร้อนรุ่มเพราะความอิจฉาผู้หญิงที่อดีตสามีหันไปรักก็มีความคิดใหม่เข้ามาแทนที่ ความคิดที่ว่าผู้ชายส่วนมากก็ชอบผู้หญิงสวย หุ่นดี หอม ท้าทาย น่าค้นหา เมื่อเราเองยังชอบคนรูปหล่อ เขาก็คงเหมือนกัน เราควรเห็นใจเขาที่มีภรรยาตัวดำ หน้าตาไม่สวย หย่อนยานหลังคลอด - ปล่อยวาง ไม่อาฆาต เพราะรู้สึกว่าโดนกระทำให้ช้ำใจ จึงคิดว่าต้องแก้แค้น หลังสวดมนต์บ่อย ๆ ผู้เขียนก็คิดว่า การที่เราช้ำใจ เสียใจเพราะเราเอาหัวใจของเราไปยึดมั่นที่คนอื่น คิดว่าถ้าเราดีต่อเขา รักเขา เขาจะดีต่อเรา เห็นคุณค่าของเรา ดังนั้นเราควรดึงใจเรากลับมาไว้ที่ตัวเรา รักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง ดูแลหัวใจตัวเองเพื่อให้มีพลังที่จะดูแลลูกและแม่ของเรา คนที่หมดรักหรือไม่รักเรา ทำยังไงเขาก็ไม่รัก ดังนั้นเราจงอย่าฝืนใจใครและอย่าหลอกตัวเอง - ใจเย็นมากขึ้น จากทีเคยเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ใจร้อน จนทำให้บ้าบิ่น และมุทะลุก็ลดลง เริ่มยับยั้งใจได้มากขึ้น โกรธยากขึ้น - มีทางออกไม่มีทางตัน จากที่ผู้เขียนเคยรู้สึกเคว้างคว้างยามประสบปัญหาบางอย่างที่ปรึกษาใครไม่ได้ ก็สามารถคิดวิเคราะห์หาสาเหตุและทางแก้ของปัญหาเองได้ โดยไม่กดดันตัวเองแต่ให้กำลังใจตัวเอง- มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในการเินทางไปทำงาน ผู้เขียนจำเป็นต้องเดินทางระหว่างบ้านที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับกรุงเทพ ต้องออกจากบ้านตอนตีสี่กว่า ๆ เพื่อมาขึ้นรถตู้โดยสารเที่ยวตีสี่ครึ่ง เนื่องจากบ้านอยู่กลางทุ่งนา จึงมีดงหญ้า ป่ากล้วยขึ้นเต็มไปหมด นอกจากนี้สองข้างทางยังมีต้นงิ้วสูงตระหง่าน แสงไฟจากหลอดนีออนบนเสาไฟข้างทางที่ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง ทำให้เห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆ บรรยากาศยามเช้ามืดที่ค่อนข้างวังเวง ผู้เขียนขับรถป๊อปออกมาคนเดียว แสงไฟน้อยแรงเทียนจากหน้ารถป๊อปทำให้เห็นอะไรไม่ชัดเจน ความกลัวก็บังเกิด ระยะทางแค่หนึ่งกิโลเมตรก็รู้สึกว่าไกลแสนไกล ยิ่งบางครั้งฝนตก ฟ้าร้องยิ่งกลัวมากแต่อาศัยสวดมนต์ไปตลอดทาง ทำให้รู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัย บทสวดที่ศรัทธาและสวดง่ายไม่ต้องกางหนังสือคือ บทสวดนอบน้อมพระพุทธเจ้า (นะโม 3 จบ) และ บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย(อิติปิโส) นับจากวันที่เริ่มสวดมนต์จริงจังในวันนั้นจนถึงวันนี้ ผู้ก็ยังใช้ชีวิตปกติ แม้ไม่ได้มีโอกาสไปถือศีล ฟังธรรมที่วัด แต่ก็พยายามรักษาศีลห้าอาจมีบางครั้งที่ฆ่ายุง ฆ่าแมลง จังหวะชีวิตก็มีขึ้นมีลงอย่างคนทั่วไป แต่มีสติระลึกรู้และเข้าใจความเป็นไปในชีวิตและผู้คนที่เกี่ยวข้องมากขึ้น อาการโมโห วู่วามนั้นแทบไม่เคยมี แม้ลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเองก็มีพลังในการคิดสร้างสรรค์เพื่อหาหนทางสร้างรายได้ ยามผิดหวังก็ไม่ท้อแต่วิเคราะห์หาสาเหตุแล้วเริมต้นใหม่ กำลังใจและพลังบวกมีเต็มร้อย ว่ากันว่าคำที่ร้อยเรียงในบทสวดมนต์นั้นเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อรวมกับความศรัทธาก็จะยิ่งเพิ่มพลานุภาพแก่ผู้สวด ผู้เขียนจึงขอเชิญชวนคุณผู้อ่านให้เริ่มสวดมนต์กันนะคะ ความสุข สงบ พลังบวกรอเราอยู่นะคะ ขอขอบคุณเครดิภาพดังรายละเอียดต่อไปนี้ค่ะ ภาพหน้าปก 1 โดย Drew Beamer ภาพหน้าปก 2 โดย Tien Vu ngocภาพที่ 1 โดย Igor Rodrigues ภาพที่ 2 โดย Christopher Catbaganภาพที่ 3 โดย Ben White ภาพที่ 4 โดย Tom Shakirภาพที่ 5 โดย Lucas Calloch เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !